โครงการศูนย์อิสลามฯ

กรอบแนวคิด และความเป็นมาของโครงการ

อารยธรรมและการสร้างสรรค์ของมนุษย์ทุกยุคสมัยล้วนมีความสัมพันธ์กับการพัฒนาการด้านจิตวิญญาณความเจริญรุ่งเรืองของวิชาการ ความมั่นคงทางสังคม และความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

คุณค่าทางจิตวิญญาณและวิชาการเป็นปัจจัยสำคัญที่ได้จุดประกายความศิวิไลซ์และการก่อสร้างตัวของอารยะธรรมต่างๆ ในอดีต ด้วยความสำคัญดังกล่าวประชาชาติที่มีความเจริญรุ่งเรือง จึงสร้างสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่วิจิตรตระการตา เพื่อถ่ายทอดคุณค่าต่างๆ ที่เป็นนามธรรมสู่รูปธรรมไว้เป็นมรดกตกทอดให้แก่อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ อีกทั้งยังเป็นความภาคภูมิใจและศูนย์รวมทางจิตใจแก่สังคมและประชาชนในชาติสืบต่อไปยาวนาน

จังหวัดชายแดนภาคใต้มีประวัติศาสตร์และทำเลที่ตั้งเหมาะสมและสอดคล้องที่จะฟื้นฟูการเป็นศูนย์กลางทางการศึกษา วัฒนธรรม และการสร้างอารยธรรมสมัยใหม่ที่สามารถเชื่อมโยงกับการเป็นศูนย์กลางของประชาคมอาเซียนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม

ปัตตานีในอดีตได้ถูกขนานนามว่าเป็น “ระเบียงแห่งนครมักกะฮฺ” ศูนย์การศึกษา และวัฒนธรรมของโลกมลายูที่สามารถเชื่อมโยงกับมักกะฮฺที่เป็นศูนย์ของโลกอาหรับและโลกอิสลาม

ปัจจุบันปัตตานีในฐานะจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย หนึ่งในบรรดาสมาชิกประชาคมอาเซียน ทั้งในตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม เหมาะที่จะเป็นศูนย์กลางและเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองวัฒนธรรมใหญ่ ระหว่างวัฒนธรรมของโลกมลายูที่ได้รับการหล่อหลอมจากศาสนาอิสลาม กับโลกที่ไม่ใช่มลายูซึ่งมีวัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ ฮินดูและพราหมณ์

ปัตตานีมีพื้นฐานมาจากประวัติศาสตร์ภูมิศาสตร์ และความมั่งคั่งทางวัฒนธรรม  จึงควรได้รับการพัฒนาต่อยอดให้เกิดความโดดเด่นเป็นแบบอย่างของสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีความมั่งคั่ง มั่นคง และสันติภาพ เป็นศูนย์ที่จะเชื่อมสัมพันธ์ทางการศึกษา สังคมและธุรกิจการค้าทั้งในโลกมลายู และโลกมุสลิมทั้งหมดในอนาคต

ด้วยความตระหนักถึงศักยภาพและความโดดเด่นของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดปัตตานีโดยเฉพาะ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี ในฐานะมหาวิทยาลัยเอกชนมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีความใฝ่ฝัน และความมุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างสรรค์ให้เกิดสันติภาพ ความสงบสุข และความมั่งคั่งในพื้นที่ ได้ดำเนินภารกิจเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอันนี้  ตั้งแต่การเริ่มต้นก่อตั้งมหาวิทยาลัยจวบจนถึงปัจจุบัน จนเป็นที่ประจักษ์ชัดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้รับความเชื่อมั่น ความร่วมมือ และการสนับสนุนจากโลกมุสลิมและโลกมลายูมาอย่างต่อเนื่อง

เพื่อเป็นการขยายต่อยอดศักยภาพและความโดดเด่นของจังหวัดปัตตานี เชื่อมโยงกับจุดแข็งและแผนพัฒนามหาวิทยาลัยฟาฏอนีในการบริการสังคมในอนาคตมหาวิทยาลัยฟาฏอนี จึงได้ระดมความคิด วางแผนเพื่อสร้างเมืองมหาวิทยาลัยขึ้นชื่อว่า “เมืองมะดีนะตุสลาม (สันติธานี)” ในโครงการปัตตานีจายา เพื่อเป็นศูนย์จัดการศึกษาแห่งใหม่ของมหาวิทยาลัยฟาฏอนี ในเขตตำบลบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ในพื้นที่ประมาณ 1,300 ไร่ เพื่อเป็นเมืองต้นแบบ (Model City) ที่เป็นศูนย์รวมของการศึกษา การวิจัย ศูนย์นวัตกรรม ศูนย์ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศูนย์ธุรกิจการค้าฮาลาล (Halal Hub & Halal Trade Center) ศูนย์ฝึกอบรมอาชีพเพื่อสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ และการเป็น Islamic Medical Hub (ศูนย์กลางการแพทย์ การรักษาพยาบาลและการดูแลสุขภาพวิถีอิสลาม) ที่มีศักยภาพในการผลิตบุคคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้เพียงพอกับความต้องการในพื้นที่ พร้อมกับการเตรียมรองรับการให้บริการ การบริการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Tourism) ต่อประชากรมุสลิมในอาเซียนซึ่งมีประมาณ 300 กว่าล้านคนและโลกมุสลิมทั้งหมดอีกประมาณ 1,800 ล้านคน

เมืองมะดีนะตุสสลาม มีเป้าหมายหลักเพื่อร่วมสร้างความมั่นคงและสันติภาพที่ยั่งยืนแก่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะสันติภาพคือปัจจัยพื้นฐานสำหรับการพัฒนาด้านต่างๆ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี จึงได้วางแผนให้หัวใจหรือศูนย์กลาง (Land Mark) ของเมืองสันติธานี คือศูนย์อิสลาม ซึ่งจะเป็นศูนย์ทางสติปัญญาและจิตวิญญาณ เป็นศูนย์ค้นคว้าทางด้านวิชาการ ความรู้ และเป็นศูนย์วัฒนธรรม สถาปัตยกรรมที่จะหลอมรวมในการถ่ายทอด เพื่อสร้างอารยธรรมอิสลามในยุคสมัยใหม่ที่สามารถอยู่ร่วมท่ามกลางวัฒนธรรมที่หลากหลายได้อย่างสงบสุขและมีคุณค่า

ด้วยความเมตตาและโปรดปรานจากพระผู้เป็นเจ้า หลังจากได้วางแผนเตรียมการมาเกือบ 3 ปีโครงการศูนย์อิสลามฯ แห่งนี้ได้รับการโปรดเกล้าพิจารณาโดยกษัตริย์ซัลมาน บินอับดุลอาซิซ อาลซุอูด แห่งราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย และได้ทรงอนุมัติงบประมาณจำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างศูนย์ดังกล่าว พร้อมทรงอนุญาตให้ใช้ชื่อศูนย์นี้ว่า “ศูนย์อิสลาม กษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ อาลซุอูด ผู้พิทักษ์สองมัสยิดอันทรงเกียรติ ”

วัตถุประสงค์

1.เพื่อสร้างศูนย์อิสลามที่ชื่อว่า “ศูนย์อิสลามกษัตริย์ซัลมานฯ”เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจร่วมกันของผู้ศรัทธา อันก่อให้เกิดความสงบสุขในชีวิตและจิตใจ เป็นสถานที่หล่อหลอมคุณธรรม เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างสันติภาพและความเจริญก้าวหน้าในพื้นที่
2.เพื่อเป็นศูนย์รวมของการค้นคว้า ศึกษาวิจัย และแหล่งอ้างอิงทางวิชาการ ด้วยการจัดตั้งสถาบันวิจัยอิสลามที่บูรณาการกับศาสตร์ต่างๆให้สามารถรองรับโลกสมัยใหม่ โดยมีห้องสมุดขนาดใหญ่ และมีนักวิชาการหลากหลายทำการศึกษา ค้นคว้าและการวิจัย
3.เพื่อเป็นศูนย์รวมในการจัดกิจกรรมการประชุมสัมมนาในระดับภูมิภาคและนานาชาติ
4.เพื่อเป็นศูนย์รวมในการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับวิถีอิสลาม
5.เพื่อเป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงความวิจิตร และสง่างามของอารยธรรมอิสลาม
6.เพื่อเป็นสถานที่ในการจัดแสดงมรดกทางวิชาการ ศิลปะและวัฒนธรรมอิสลามของท้องถิ่นและจากพื้นที่ต่างๆทั่วโลก
7.เพื่อเป็นแหล่งส่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจการค้าการลงทุน ด้านการท่องเที่ยว ในภูมิภาคอาเซียน

ลักษณะและรายละเอียดของโครงการ ประกอบด้วย

– อาคาร มัสยิด หอประชุม พื้นที่ธุรกิจวากัฟ
– พื้นที่อาบน้ำละหมาด ทางเข้า สถาบันวิจัยอิสลาม
– สำนักงานบริหารมูลนิธิ
– บ้านประจำตำแหน่งประธานมูลนิธิฯ และเรือนรับรองบุคคลสำคัญ
– บ้านพักอิหม่ามและมุอัซซิน บ้านพักชั่วคราว 2 ห้องนอน 2 หลัง
– พิพิธภัณฑ์
– ที่จอดรถ
– ระบบรักษาความปลอดภัย ให้มีห้องควบคุมระบบและห้องเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

ความคืบหน้า

– วันที่  6 ตุลาคม 2559 สถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบีย ประจำประเทศไทย  ได้ส่งหนังสือถึง ผศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนี  เมื่อวันที่ 4 มุฮัรรอม 1438 ฮ. ได้อนุมัติงบสนับสนุนเพื่อโครงการก่อสร้างศูนย์อิสลามกษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุลอาซิซอาลซุอูด ผู้พิทักษ์สองมัสยิดอันทรงเกียรติ จำนวนงบประมาณ  20,000,000 ดอลลาร์

– ได้มีการวางผังกำหนดพื้นที่สำหรับศูนย์อิสลามฯ โดยกำหนดพื้นที่ จำนวน 30 ไร่ ทางมูลนิธิฯ ได้มีการระดมเงินวากัฟ เพื่อซื้อที่ดิน ซึ่งในปี 2559 ได้ดำเนินการชำระหนี้และปลอดที่ดินจากธนาคารในเขต     อิสลามิคเซ็นเตอร์ จำนวน 22 แปลง เป็นเนื้อที่ดินทั้งสิ้น 31 ไร่ 0 งาน 77.4 ตารางวา เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 20,300,500.00 บาท

– ได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการก่อสร้างศูนย์อิสลามฯ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลและติดตามการก่อสร้างจนแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ดังรายนามต่อไปนี้

รายนามคณะกรรมการที่ปรึกษา

  1. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา
  2. นายอารีย์ วงศ์อารยะ

รายนามคณะกรรมการบริหาร

  1. ผศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา     ประธานกรรมการ
  2. นายเศรษฐ์  อัลยุฟรี     รองประธานกรรมการ
  3. นายซอและห์ ตาเละ     รองประธานกรรมการ
  4. รศ.ดร.อิสมาแอ อาลี     กรรมการ
  5. ผศ.ดร.อาหมัดอูมาร์ จะปะเกีย     กรรมการ
  6. นพ.แวดือราแม แวดาโอะ     กรรมการ
  7. นายอับดุลอายี สาแม็ง     กรรมการ
  8. นายนิมุคตาร์ วาบา     กรรมการ
  9. นายแวดือราแม มะมิงจิ     กรรมการ
  10. นายสมมิตร สารรักษ์     กรรมการ
  11. นายหะยีเซ็ง โต๊ะตาหยง     กรรมการ
  12. นายซาฟีอี บารู     กรรมการ
  13. ผศ.ดร.สุกรี หลังปูเต๊ะ     กรรมการ
  14. ผศ.ดร.วรวิทย์ บารู     กรรมการและเลขานุการ
  15. นายอิสมาแอ ระนี     กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
  16. รศ.มูฮำหมัด สะมาโระ     กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
  17. นายอัดนัน แวสาหะ     กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

– วันที่ 16 สิงหาคม 2560 มูลนิธิมะดีนะตุสสลาม ได้เซ็นสัญญาทำข้อตกลงว่าจ้างบริษัท Hassa Architecture Engineering & Construction Co.Ltd เป็นบริษัทที่ปรึกษาและออกแบบอาคาร

– วันที่ 30  พฤศจิกายน 2560 รัฐบาลไทยโดยรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้อนุมัติให้ดำเนินการโครงการศูนย์อิสลาม กษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ อาลซุอูด ผู้พิทักษ์สองมัสยิดอันทรงเกียรติ ” ตามที่รัฐบาลซาอุดิอาระเบียขอ โดยมอบหมายให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) กำกับดูแล  และได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างศูนย์อิสลามฯ

– วันที่ 26 กันยายน 2560 มีการประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์อิสลามฯ เพื่อพิจารณาหาข้อสรุปในเรื่องแบบและการใช้สอย และแจ้งเป็นทางการให้บริษัท Hassa โดยมีข้อสรุปการออกแบบ คือให้มีการออกแบบมัสยิดและอาคารส่วนประกอบต่างๆ ในพื้นที่ 30 ไร่ โดยมีมัสยิดที่มีพื้นที่ละหมาดในร่มรวม 6,120 ตารางเมตร สามารถจุคนได้ 8,740 คน นอกจากนี้ยังมีหอประชุมนานาชาติและพื้นที่สำหรับจัดนิทรรศการ อีกทั้งยังมีสถาบันวิจัยอิสลามที่มีห้องสมุดสำหรับการวิจัยเป็นองค์ประกอบสำคัญของศูนย์อิสลามอีกด้วย

– วันที่ 2 มิถุนายน 2560 ได้จ้าง บริษัท พีเจเซอร์เวย์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด จากกรุงเทพฯ ดำเนินการสำรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วและมอบข้อมูลการสำรวจให้มูลนิธิฯ และได้ส่งให้บริษัท Haasa เพื่อใช้ประกอบในการออกแบบ

– วันที่ 3 มกราคม 2562  องค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี ได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อก่อสร้างถนนหลักของโครงการ เชื่อมระหว่างถนนสี่เลน ปัตตานี – นราธิวาส กับสถานที่ก่อสร้างอาคารศูนย์อิสลามศูนย์อิสลามกษัตริย์ซัลมานบินอับดุลอาซิซ อาลซุอูด ช่วงแรกทำถนนลักษณะเป็นถนนหินกรุขนาดกว้าง 12 เมตร ยาว 800 เมตร โดยเริ่มถมและทำถนน ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2562 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2562

– เดือน มิถุนายน 2562 ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการออกแบบขุดคลองรอบสถานที่ก่อสร้างอาคารศูนย์อิสลามศูนย์อิสลามกษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุลอาซิส อาลซุอูด ขนาดกว้าง 40 เมตร เพื่อใช้ประโยชน์ในการเก็บน้ำ ป้องกันน้ำท่วม มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม การดำเนินงานได้ขออนุเคราะห์สนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารตำบลบานา และกรมทรัพยากรน้ำ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

– วันที่ 15 พฤษภาคม 2562  มูลนิธิได้ดำเนินการถมดินบริเวณที่จะก่อสร้างศูนย์อิสลามฯ โดยถมจำนวน 30 ไร่ ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2562 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 5,500,000 บาท (ห้าล้านห้าแสนบาทถ้วน)

– วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.2562 ประเทศซาอุดิอารเบีย ได้อนุมัติเงิน 200,000 US เพื่อเป็นค่าจ้างออกแบบ โดยจะจ่ายตรงให้กับบริษัท Hassa ซึ่งขณะนี้บริษัท Hassa ได้ดำเนินการเปิดบัญชีในนามบริษัท และได้รับเงินงวดแรกในการทำสัญญาเรียบร้อยแล้ววันที่ 24 พฤษภาคม  พ.ศ. 2562

– วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562 บริษัท Hassa  ได้จ้างบริษัท C-NAN ASSOCIATE CO. LTD จากจังหวัดภูเก็ต เป็นบริษัทคู่ในประเทศ เพื่อการตรวจสอบแบบและมีส่วนร่วมในแบบก่อสร้างของโครงการและจัดการเกี่ยวกับการอนุญาตก่อสร้างตามระยะเวลาที่ได้รับมอบหมาย พร้อมเตรียมการในการประมูลหาบริษัทผู้รับเหมาต่อไป

– วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 บริษัทที่ปรึกษาได้ขออนุญาตเบิกค่าใช้จ่ายงวดที่สองสำหรับ Final Design มูลค่า 120,000 ดอลลาร์สหรัฐ

– วันที่ 11 ธันวาคม  พ.ศ. 2562  โครงการการออกแบบศูนย์อิสลามฯ ตามขั้นตอนการจ่ายงวดที่สามก็ได้เสร็จเรียบร้อย  มูลค่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

– วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2562  บริษัทที่ปรึกษาอยู่ในการเตรียมเอกสารเพื่อการประมูลหาผู้รับเหมา

ซึ่งจะสามารถดำเนินการทำการขออนุญาตก่อสร้างได้หลังจากได้รับค่าใช้จ่ายงวดที่สองที่มีตามข้อตกลงที่ได้ทำไว้กับสถานทูตซาอุดิอารเบียก่อนหน้านี้

รศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี  จะปะกียา ประธานมูลนิธิมะดีนะตุสสลาม เร่งรัดงานโดยมีการประสานกับฝ่ายซาอุดิอาระเบีย และบริษัทที่ปรึกษาเพื่อจะเริ่มดำเนินการเกี่ยวกับการขออนุญาตก่อสร้าง หาผู้รับเหมาก่อสร้างให้สามารถเริ่มงานก่อสร้างและทำพิธีวางรากฐานงานก่อสร้างเร็วๆนี้ โดยมีรัฐมนตรีแห่งรัฐฝ่ายกิจการศาสนาของซาอุดดิอาระเบียมาเป็นประธาน